เศรษฐกิจพอเพียง
ในส่วนของบทความเกี่ยวกับการเกษตร
เราได้รวมเอาเทคนิค และวิธีการในการทำการเกษตร ไม่ว่าจะเป็น ทั้งในด้านการปลูกพืช
และด้านการเลี้ยงสัตว์ ยกตัวอย่าง เช่น การเลี้ยงปลาดุกในบ่ซีเมนต์
การเลี้ยงหมูหลุม การเลี้ยงเป็ด การเลี้ยงไก่ การเลี้ยงหมู
การเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจต่างๆ การปลูกผักหวานป่า การปลูกกล้วย การปลูกไผ่หวาน
การปลูกพืชเศรษฐกิจต่างๆ รวมถึง วิธีการดูแลจัดการต่างๆ
ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากเกษตรกรที่ได้ทดลองแล้วได้ผล หรือที่เรียกว่า
ปราชญ์ชาวบ้าน เช่น การทำปุ๋ยหมักชีวภาพ ไว้ใช้เอง เพื่อลดต้นทุน
การทำจุลินทรีย์ในการปลูกพืชเพื่อเพิ่มผลผลิต และลดต้นทุนในการทำการเกษตร
รวมทั้งการใช้วิธีธรรมชาติ ในการจัดการกับโรค แมลง เพื่อความสมดุลย์
เศรษฐกิจพอเพียง
ในส่วนของ
เวปบอร์ดนั้น จะเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนความรู้ของเกษตรกร และบุคคลทั่วไปที่สนใจในด้านการเกษตร
ที่นำมาแลกเปลี่ยนกัน รวมทั้งจะมี ในส่วนของการซื้อขายแลกเปลี่ยน สินค้าเกษตร เช่น
ขายเมล็ดพันธุ์ เป็นต้น และในส่วนเวปบอร์ด นี้จะจัดให้มีส่วน ความรู้ทั่วๆไป
ข่าวสาร และในส่วนของการสนทนาทั่วๆไป เพื่อความเป็นกันเองของท่านสมาชิก และถ้าสมาชิกท่านใด
ต้องการในส่วนใหนเพิ่มเติม ก็ส่งข้อความมาหาเวปมาสเตอร์ได้เลย
เนื้อหาสาระเกี่ยวกับ เศรษฐกิจพอเพียง และในส่วนอื่นๆที่กล่าวมาข้างต้น
เพื่อความสะดวกในการค้นหา ท่านสามารถเลือกอ่านได้ที่ เมนูด้านซ้ายมือได้เลย
เศรษฐกิจไทย
2500-2520 เน้นส่งออกสินค้าเกษตร-รับเงินลงทุนจากสหรัฐจุดเปลี่ยนที่สำคัญในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยสมัยใหม่
อยู่ในช่วงรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา
โดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่สามารถสถาปนาอำนาจนำในการเมืองโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ต้องการเข้ามาปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของไทย
ผ่านความช่วยเหลือจากธนาคารโลกเป็นสำคัญรัฐบาลไทยขายบริษัทและรัฐวิสาหกิจที่ไม่เกี่ยวกับสาธารณูปโภคให้เอกชน
และตั้งหน่วยงานที่เป็นพื้นฐานสำคัญของความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น
สำนักงบประมาณ สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
ประเทศไทยเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้น ปรับลดภาษีนำเข้าลง กดค่าแรงให้ต่ำ
ทำให้ประเทศไทยสามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติได้ถึง 6 พันล้านบาท
(เฉพาะที่ผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) ระหว่าง พ.ศ. 2503-2525เศรษฐกิจไทยในทศวรรษ 2500 และ 2510 เกิดจากการส่งออกสินค้าเกษตร
และการไหลเข้าของเงินทุน-เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ
ส่วนภาคอุตสาหกรรมในช่วงแรกยังเน้นการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าเป็นหลัก
ซึ่งช่วงหลังของทศวรรษที่ 2510 จึงเริ่มเปลี่ยนทิศทางมาเป็นการผลิตเพื่อส่งออก
(โดยเฉพาะหลังแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 3 พ.ศ.
2514 เป็นต้นมา) แต่ก็ยังไม่เห็นผลชัดเจนนัก
เศรษฐกิจไทย 2520-2530 เข้าสู่การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเต็มตัวแต่ภายหลังเมื่อการผลิตเพื่อทดแทนสินค้านำเข้าเริ่มอิ่มตัว
ผนวกกับภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำในช่วงปลายทศวรรษที่ 2510 การเพิ่มราคาน้ำมันของกลุ่มโอเปค การถอนตัวของสหรัฐออกจากอินโดจีน
เมื่อ พ.ศ. 2518 และความวุ่นวายทางการเมืองของไทยเองใน พ.ศ. 2516-2519 ทำให้เศรษฐกิจที่เน้นการส่งออกด้านเกษตรกรรมเริ่มหยุดชะงัก
และไทยต้องปรับเปลี่ยนตัวเองมาอิงกับการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมมากขึ้นในทศวรรษ 2520นอกจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมแล้ว
ไทยยังเริ่มหามาตรการใหม่ๆ ในการขับดันเศรษฐกิจมากขึ้นด้วย เช่น
สนับสนุนให้คนไทยไปทำงานในต่างประเทศโดยเฉพาะตะวันออกกลาง
และส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างจริงจังในช่วงนี้อุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกของไทยเติบโตอย่างสมบูรณ์ในทศวรรษ
2520 โดยเฉพาะรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
ซึ่งมีความสัมพันธ์กับภาคธุรกิจมากขึ้น ฝ่ายนักธุรกิจรวมตัวกันตั้งสมาคมต่างๆ
ที่มีอิทธิพลต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น สมาคมธนาคารแห่งประเทศไทย
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีการตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐบาลและเอกชน (ก.ร.อ.)
เพื่อเป็นเวทีอย่างเป็นทางการในการส่งข้อเสนอต่อรัฐบาลปัญหาเศรษฐกิจในช่วงปลายของทศวรรษ
2520 บีบให้รัฐบาลพลเอกเปรมต้องลดค่าเงินบาทใน พ.ศ. 2527 เปลี่ยนมาใช้ระบบตะกร้าเงินตรา
และหันมาใช้การส่งออกเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจโลกในช่วงปลายทศวรรษ
2520 คือสนธิสัญญาพลาซาแอคคอร์ด เมื่อ พ.ศ. 2528 ที่ญี่ปุ่นยอมให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินตราสกุลอื่นของโลก
และเป็นจุดเริ่มต้นของ “ยุคทอง” ของเศรษฐกิจไทย
เศรษฐกิจไทย 2530-2540 จากยุคทองของการส่งออกถึงวิกฤตต้มยำกุ้งการขึ้นค่าเงินของญี่ปุ่นทำให้ญี่ปุ่นไม่สามารถผลิตสินค้าในประเทศและทำราคาที่แข่งขันในตลาดโลกได้
จึงต้องย้ายฐานการผลิตมายังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียเพื่อลดต้นทุนในการผลิต
ซึ่งประเทศไทยเป็นเป้าหมายสำคัญของญี่ปุ่น ด้วยเหตุผลหลายอย่าง เช่น แรงงานราคาถูก
บรรยากาศในการลงทุน และความสัมพันธ์ที่ดีกับคนญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองทศวรรษ
2530 ไทยได้ประโยชน์อย่างมากจากการขยายฐานโรงงานของญี่ปุ่น
และการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก
ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนสินค้าที่ส่งไปประกอบยังต่างประเทศ
หรือตัวสินค้าที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว
นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากภาคบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยว
และรายได้จากแรงงานไทยในต่างประเทศ ตัวเลขการเติบโตของ GDP ไทยอยู่ในระดับ “สูงมาก” ช่วงต้นทศวรรษ
(เติบโตระดับเลขสองหลักระหว่าง พ.ศ. 2531-2533)ช่วงปลายของทศวรรษ 2530 กลุ่มทุนไทยหน้าใหม่ๆ
หลายรายสามารถสะสมความมั่งคั่งจากการดำเนินธุรกิจชนิดใหม่ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์
โทรคมนาคม การเงิน จนกลายเป็นกลุ่มทุนเอกชนขนาดใหญ่ได้อย่างไรก็ตาม
การเติบโตของเศรษฐกิจที่ร้อนแรงในทศวรรษ 2530 กลับควบคุมไม่อยู่และเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ในช่วงสิ้นทศวรรษ
ประเทศไทยต้องยอมลอยตัวค่าเงินบาทอย่างเจ็บปวดใน พ.ศ. 2540 และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ
“วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง” ที่แพร่ระบาดไปทั่วเอเชีย
เศรษฐกิจไทยหลัง พ.ศ. 2540 การปรับตัวเพื่อแก้ไขวิกฤตการลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อ พ.ศ. 2540 ทำให้เศรษฐกิจไทยที่กู้เงินจากต่างประเทศเพื่อขยายกิจการ
มีหนี้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมหาศาล ทิศทางของภาคธุรกิจไทยหลังวิกฤตเศรษฐกิจจึงเป็นการปรับตัวเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้
กลุ่มทุนไทยที่แข่งขันไม่ได้ต้องยอมขายกิจการให้ต่างชาติ
ทุนไทยที่เคยเติบโตอย่างกระจัดกระจายในยุค 2530-2540 เริ่มควบรวมกันเพื่อความอยู่รอดในขณะเดียวกันการลงทุนของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนลดลงมากเพื่อลดหนี้และหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายเงินเป็นปริมาณมากๆ
ซึ่งในระยะสั้นถือเป็นมาตรการที่มีประโยชน์
แต่ในระยะยาวจะทำให้โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจเริ่มล้าสมัย
ซึ่งก็เริ่มแสดงออกให้เห็นแล้วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาส่วนการส่งออกหลังการลดค่าเงินบาทกลับยิ่งเด่นชัดขึ้น
เพราะค่าเงินบาทที่อ่อนลงทำให้ราคาสินค้าไทยในต่างชาติสามารถแข่งขันได้เพิ่มขึ้น
โครงสร้างเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออกในทศวรรษ 2530 จึงเปลี่ยนมาเป็นการพึ่งพิงการส่งออกอย่างสมบูรณ์ในทศวรรษนี้
ส่วนตลาดภายในประเทศกลับยังไม่เติบโตนัก
เนื่องจากประเทศไทยกดค่าแรงให้ต่ำเพื่อประโยชน์ของการส่งออกภาพรวมของเศรษฐกิจไทยหลังปี
2540 จนถึงปัจจุบัน คือการปรับตัวของภาคธุรกิจให้เข้มแข็งขึ้น
เศรษฐกิจไทยในยุคนี้ขับเคลื่อนโดยภาคเอกชนเป็นหลัก
ต่างจากเศรษฐกิจในยุคก่อนหน้าที่พึ่งพาการวางแผนของภาครัฐ
ปัญหาของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันประเทศไทยประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจากเกษตรกรรมมาสู่อุตสาหกรรมและบริการ
ถึงแม้จะทำให้ประเทศไทยก้าวเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง
ประชาชนมีรายได้ประชาชาติต่อหัว (GNI per capita) เพิ่มจาก 710 ดอลลาร์สหรัฐใน ค.ศ. 1980 มาเป็น 4,150 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2010 และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
แต่ก็ต้องแลกมาด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่หมดไป และสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม
เกิดปัญหาช่องว่างในการกระจายรายได้ และความไม่เท่าเทียมกันของชนบทกับเมือง
เกิดปัญหาสังคมตามมาอีกหลายประการในขณะเดียวกันเศรษฐกิจของไทยต้องพึ่งพิงต่างประเทศเพิ่มขึ้น
ซึ่งเศรษฐกิจโลกเองก็มีความผันผวนอย่างหนัก ดังจะเห็นได้จากวิกฤตเศรษฐกิจโลกใน
ค.ศ. 2008 ที่ยังเรื้อรัง
และโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยที่พัฒนาต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน
ก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามการเป็นประเทศอุตสาหกรรมแบบ “รับจ้างผลิต” ที่ไม่มีเทคโนโลยีระดับสูงมากนัก
และอาศัยค่าแรงราคาถูกในภูมิภาคเป็นจุดเด่น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยกำลังจะติด “กับดักของประเทศกำลังพัฒนา” ในไม่ช้า
การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจำวัน
การนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
สามารถกระทำได้ดังต่อไปนี้
เศรษฐกิจพอเพียงสำหรับบุคคลทั่วไป
เศรษฐกิจพอเพียงมีประโยชน์ต่อประชาชนทุกคนไม่ใช่เฉพาะแต่เกษตรกรเท่านั้น
แต่ประชาชนโดยทั่วไปไม่ว่านิสิต นักศึกษา นักเรียน ข้าราชการ
พนักงานบริษัทก็สามารถนำหลักการเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการเรียน การทำงาน
ตลอดจนการดำเนินชีวิตประจำวันได้ ซึ่งสามารถกระทำได้ดังนี้
1.ควรยึดหลักความประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน
และสละความฟุ่มเฟือยในการดำรงชีพอย่างจริงจัง
2.ควรประกอบอาชีพด้วยความสุจริตและถูกต้อง
แม้จะเผชิญกับภาวะขาดแคลนในการดำรงชีพก็ตาม
3.ควรลดละการแก่งแย่งผลประโยชน์ และการแข่งบันทางการค้าขาย
ตลอดจนการประกอบอาชีพที่มีการต่อสู้อย่างรุนแรง
4.ควรขวนขวายใฝ่หาความรู้ให้มีรายได้เพิ่มพูนขึ้นจนถึงขั้นพอเพียงในการดำรงชีวิตเป็นเป้าหมายสำคัญ
เศรษฐกิจพอเพียงสำหรับเกษตรกร
แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง มีประโยชน์ต่อเกษตรกรเป็นอย่างมาก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวคิดที่เรียกว่า “การเกษตรทฤษฎีใหม่” เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรให้มีความรู้ความเข้าใจ
ตลอดจนสามารถนำไปประยุกต์ ใช้ในการประกอบอาชีพ
โดยจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานหลักการทฤษฎีใหม่สำหรับเกษตรกรนั้น
แนวคิดระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียงตามแนวพระราชดำริจะตั้งอยู่บนพื้นฐานหลักการ “ทฤษฎีใหม่” 3 ขึ้นคือขั้นที่หนึ่ง มีความพอเพียงเลี้ยงตัวเองได้บนพื้นฐานของความประหยัด
ขจัดการใช้จ่ายขั้นที่สอง รวมพลังกันในรูปกลุ่ม
เพื่อทำการผลิต การตลาด การจัดการ รวมทั้งด้านสวัสดิการ การศึกษา
และการพัฒนาสังคมขั้นที่สาม สร้างเครือข่ายกลุ่มอาชีพและขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้หลากหลาย
โดยประสานความร่วมมือกับภาคธุรกิจ ภาคองค์กรพัฒนา ภาคเอกชน และภาครัฐ
ในด้านเงินทุน การตลาด การผลิต การจัดการและข่าวสารข้อมูลกรณีศึกษาเศรษฐกิจพอเพียงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้พระราชทานแนวการพัฒนาการเกษตรในเขตพื้นที่แห้งแล้ง
โดยทรงทดลองที่จังหวัดสระบุรี ก่อนที่จะขยายโครงการทฤษฎีใหม่นี้ที่อำเภอเขาวง
จังหวัดกาฬสินธุ์ ใน พ.ศ. 2535ที่จังหวัดสระบุรี
ตามแนวพระราชดำรินี้ได้เริ่มต้นด้วยที่ดินจำนวน 15 ไร่ ใกล้วัดมงคล (ภายหลังพระราชทานชื่อนี้ว่า
วัดมงคลชัยพัฒนา) จัดทำเป็นศูนย์บริการและมีการขุดบ่อน้ำ เพื่อใช้ในการเพาะปลูก
ทำให้สามารถปลูกข้าว ผัก และไม้ผลได้ ต่อมาได้ขยายพื้นที่เพิ่มอีก 30 ไร่ เป็นศูนย์พัฒนาและได้แย่งที่ดินเป็น 3 ส่วน กล่าวคือ ส่วนหนึ่งจัดสรรไว้สำหรับปลูกข้าว
อีกส่วนหนึ่งจัดสรรสำหรับการปลูกพืชสวน พืชไร่
และอีกส่วนที่เหลือเป็นที่สำหรับบุคล การดำเนินการได้ผลดีมาก สามารถสร้างกำไรได้ต่อมาได้ขยายโครงการมาใช้ที่อำเภอเขาวง
จังหวัดกาฬสินธุ์ ช่วยให้เกษตรกร ในพื้นที่ต้องประสบกับภาวะแห้งแล้ง
การเกษตรต้องพึ่งพาน้ำฝน ก็สามารถมีเศรษฐกิจที่พอเพียง ได้จากเดิมซึ่งไม่สามารถผลิตข้าวได้พอกับความต้องการ
เกษตรกรหลายรายที่เข้าร่วมโครงการประสบผลสำเร็จในพื้นที่ของตนเป็นอย่างดีจากแนวคิดของระบบเศรษฐกิจพอเพียงดังกล่าวข้างต้น
จึงนำไปสู่นโยบายตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการอำนวยการ
หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ พ.ศ. 2544 เพื่อส่งเสริมสนับสนุนกระบวนการพัฒนาท้องถิ่น
สร้างชุมชนให้เข้มแข็งเพื่อพึ่งตนเองได้ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างงาน
สร้างรายได้
ด้วยการนำทรัพยากรและภูมิปัญญาในท้องถิ่นมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีจุดเด่น
และมีมูลค่าเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ
และสอดคล้องกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของท้องถิ่นปรัชญาหรือแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงจึงเป็นของประชาชนในทุกระดับ
ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับประเทศ แนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง
เป็นทางเลือกใหม่ของประชาชนชาวไทยเพื่อที่จะสามารถดำรงชีวิตแบบพออยู่พอกิน
และสามารถพึ่งพาตนเองได้ เศรษฐกิจพอเพียงจึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ
อันจะนำไปสู่สังคมที่มีคุณภาพทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น